ความสัมพันธ์ของระดับความเจ็บปวดกับโรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าในกระต่าย  (Pain scoring related to gastrointestinal hypomotility in domestic rabbits)

53 จำนวนผู้เข้าชม  | 

 ความสัมพันธ์ของระดับความเจ็บปวดกับโรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าในกระต่าย  (Pain scoring related to gastrointestinal hypomotility in domestic rabbits)

 ความสัมพันธ์ของระดับความเจ็บปวดกับโรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าในกระต่าย 
(Pain scoring related to gastrointestinal hypomotility in domestic rabbits)
โดย น.สพ. อัครภัทร บุตรสุรินทร์ (หมอโต้ง) โรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำ 

กลุ่มอาการของโรคทางเดินอาหารในกระต่าย (rabbit gastrointestinal syndrome: RGIS) เป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในทางคลินิก ซึ่งประกอบด้วย โรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้า (gastrointestinal hypomotility: GIH) โรคจุลชีพทางเดินอาหารเสียสมดุล (dysbiosis) และโรคฟันสึกไม่เหมาะสม (maloccclusion) ความโหดร้ายของโรคเหล่านี้เป็นเหตุคร่าชีวิตกระต่ายมากที่สุด จากข้อมูลทางสถิติพบว่า กระต่ายเสียชีวิตจากกลุ่มอาการของโรคทางเดินอาหารมากที่สุดถึง 78.24% ของโรคทั้งหมดในกระต่ายเลี้ยง การจัดการอาหารที่ไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรค เช่น กินหญ้าปริมาณน้อย (grass hay<75%) ได้รับอาหารมีกากอาหารต่ำ (crude fiber<20%) อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ผัก ผลไม้ ของกินเล่น เป็นปริมาณมาก (treat>5%) นอกจากนี้ความเครียดและความเจ็บปวดล้วนเป็นสาเหตุโน้มนำ

โรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าเป็นโรคที่พบอุบัติการณ์มากที่สุดของกลุ่มอาการของโรคทางเดินอาหารในกระต่าย (44.62%) บทบาทของเยื่อใยอาหารมีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคกากอาหารชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ (indigestible fibers) จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของทางเดินอาหารและการทำงานของฟิวซัสโคไล (fusus coli) ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ปั้นมูลให้เป็นก้อนและผลิตสารสื่อประสาทอัตโนมัติ การระบายออกของมูลเนื่องจากทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าไม่สมดุลกับการสะสมของแก๊สจากกระเพาะหมัก โน้มนำให้เกิดการสะสมของแก๊สในทางเดินอาหารมากผิดปกติหรือที่มักเรียกกันว่ากระต่ายท้องอืดกันนั่นเอง

การถ่ายภาพรังสีเป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยการสะสมของแก๊สในทางเดินอาหารกระต่าย ซึ่งสามารถจำแนกการสะสมของแก๊สเป็น 4 ระดับ (grading) ตามวิธีของ Weerakhun (2011) ประกอบด้วย ระดับที่ 1 พบแก๊สสะสมในตำแหน่งของกระเพาะอาหาร ถือเป็นระยะแรกหลังจากเกิดทางเดินอาหารเคลื่อนตัวลดลง (ภาพที่ 1) ระดับที่ 2 พบแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารและแพร่ขยายไปส่วนของลำไส้เล็ก (ภาพที่ 2) ระดับที่ 3 แก๊สแพร่ขยายไปทั้งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กและกระเพาะหมัก (ภาพที่ 3) ระดับที่ 4 พบแก๊สแพร่ไปทุกส่วนของทางเดินอาหารรวมถึงลำไส้ใหญ่ Butsurin และ Weerakhun (2012)ได้ทำการแบ่งระดับความเจ็บปวดช่องท้อง (abdominal pain score) ของกระต่ายออกเป็น 4 ระดับ จากค่าสังเกตและการทดสอบ ดังนี้

ระดับที่ 1 กระต่ายมีความเจ็บปวดและซึมเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่ยังร่าเริง ยังเดินหรือวิ่ง เริ่มกินอาหารลดลง และขับถ่ายลดลงหรือไม่ขับถ่ายเลย
ระดับที่ 2 เจ็บปวดช่องท้องมากขึ้น ซึม นั่งซุกตัวท่าแม่ไก่บางเวลา ช่องท้องขยายใหญ่ เบื่ออาหาร ขับถ่ายลดลงหรือไม่ขับถ่ายเลย
ระดับที่ 3 เจ็บปวดช่องท้องอย่างชัดเจน ซึมมาก นั่งซุกตัวท่าแม่ไก่ตลอดเวลา ช่องท้องขยายใหญ่มาก ไม่ขับถ่ายเลย
ระดับที่ 4 เจ็บปวดช่องท้องรุนแรง นั่งซุกตัวท่าแม่ไก่ เคี้ยวฟันเนื่องจากเจ็บปวดช่องท้อง ช่องท้องขยายใหญ่มาก ไม่ขับถ่าย บางรายกรีดร้องเนื่องจากความเจ็บปวด

กระต่ายที่ป่วยด้วยโรคนี้มักแสดงอาการ ซึม เบื่อหรือไม่กินอาหาร ขับถ่ายปริมาณลดลงหรือไม่ขับถ่ายเลย ขนาดและรูปร่างของมูลผิดปกติไป เช่น มูลมีขนาดไม่สม่ำเสมอ บางรายขับถ่ายคล้ายวุ้น หรือมีลักษณะคล้ายโคลน ช่องท้องขยายใหญ่จากการสะสมของอาหาร ของเหลวหรือแก๊สในทางเดินอาหาร (abdominal distension) และกระต่ายมักเสียชีวิตจากการเจ็บปวดช่องท้อง จึงเห็นได้ว่าระดับความเจ็บปวดช่องท้องส่งผลอย่างมากต่อการเสียชีวิตของโรคนี้

ความสัมพันธ์ของการสะสมของแก๊สกับความเจ็บปวดช่องท้องระดับต่างๆ จากกระต่ายที่ป่วยด้วยโรคทางเดินอาหารเคลื่อนตัวช้าจำนวน 100 ราย คละ เพศ พันธุ์ อายุและน้ำหนัก มีอายุอยู่ในระหว่าง 6 เดือนถึงมากกว่าอายุ 4 ปี พบว่ากระต่ายป่วยส่วนใหญ่จะแสดงอาการปวดในระดับที่ 2 ซึ่งแตกต่างกับระดับอื่นๆอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ปริมาณของกระต่ายป่วยในแต่ละระดับของการสะสมของแก๊สมีปริมาณใกล้เคียงกัน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าการสะสมของแก๊สในระดับ 4 พบได้น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับระดับอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ในขณะเดียวกันการสะสมของแก๊สในระดับที่ 4 เป็นเพียงระดับเดียวที่พบอาการปวดอย่างรุนแรงยิ่งหรือปวดในระดับที่ 4
การจำแนกระดับความเจ็บปวดมีประโยชน์อย่างมาก นำไปสู่การเลือกการจัดการที่เหมาะสมยิ่งขึ้น และในทางคลินิกยังต้องมีการศึกษาต่อไป การจัดการความเจ็บปวดนิยมใช้ยาลดปวดกลุ่มโอปีออยด์ (opioid) ในตำราแนะนำใช้ยาพวก buprenorphine,butorphanol หรือ morphine เพราะลดอาการปวดได้ดี หรือเลือกใช้ NSAIDs ร่วม เช่น meloxicam รวมทั้ง carprofen ในไทยเริ่มมีการใช้กลุ่มโอปิออยสังเคราะห์ เช่น tramadol มาจัดการปัญหาแทน NSAIDs เมื่อประมาน 5 ปีก่อน และมักถูกเลือกใช้เป็นยาระงับปวดลำดับแรกๆ เพื่อให้สัตว์รู้สึกสบายขึ้นในขนาด 2-4 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (mg/kgBW) ในไต้หวันใช้ขนาดที่สูงกว่านี้มาก 10-20 mg/kgBW ทั้งนี้เพราะเขาไม่มียาให้เลือกอย่างบ้านเรา เราสามารถเลือกใช้ tamadol ขนาดต่ำๆทุก 4-6 ชั่วโมงได้ จะควบคุมระดับความเจ็บปวดที่ 1 และ 2 ได้เป็นอย่างดี แต่ในระดับที่สูงขึ้นนิยมใช้ morphine และ fentanyl ทางเส้นเลือดแทน ซึ่งสัตวแพทย์มักนิยมใช้ fentanyl เลย ผลที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่มักทำให้กระต่ายซึมลงเพราะฤทธิ์ยาไปด้วย ทำการควบคุมขนาดและประคับประคองอาการ จนกว่าความเจ็บปวดลดลงหรือเริ่มเห็นการขับถ่ายนับเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งแตกต่างจากการสะสมของแก๊สระดับอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ระดับอาการปวดที่ทำการทดสอบแปรผันตรงกับการสะสมของแก๊สอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P <0.05) พบว่าหากมีการสะสมของแก๊สระดับที่สูงขึ้น มีแนวโน้มทำให้มีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เช่น การสะสมของแก๊ส ในระดับ 3 และ 4 มักจะทำให้สัตว์มีอาการปวดในระดับที่สูงขึ้น โดยมีความแตกต่างจากระดับ 1 และ 2 อย่างมีนัยสำคัญ (P <0.05) การสะสมของแก๊สในระดับที่ 3 และ 4 นั้นพบความเจ็บปวดระดับที่ 2 และ 3 เป็นส่วนใหญ่

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้